โครงสร้างและการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ

พฤกษา โฮลดิ้ง ประกอบธุรกิจที่มีรายได้จากการถือหุ้นในบริษัทอื่นเป็นหลัก (Holding Company) ด้วย 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย (ธุรกิจอสังหาฯ) และการให้บริการด้านสุขภาพผ่านโรงพยาบาลและเฮลท์แคร์ รวมถึงการแยกหน่วยธุรกิจพรีคาสท์และก่อสร้างเพื่อเพิ่มมูลค่าใหม่และทำให้เป็นธุรกิจที่ทำกำไรด้วยตนเอง (Profit Center) เพื่อขยายการให้บริการไปยังกลุ่มลูกค้าอื่นที่นอกเหนือจากบริษัทในเครือและในกลุ่มลูกค้าเดิม รวมถึงการนำเสนอสินค้าและบริการจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อยกระดับและสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจอสังหาฯ

กลุ่มบริษัทยังคงมุ่งมั่นปรับพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจอสังหาฯ ให้มีประสิทธิภาพและสามารถกระจายความเสี่ยงได้มากขึ้น ผ่านการจัดสรรสัดส่วนของโครงการที่อยู่อาศัยในมือที่มีราคาน้อยกว่า 3 ล้านบาทให้ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 40 นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญต่อนโยบายมุ่งเน้นการกระจายการลงทุนและหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักเพื่อการเติบโต โดยเน้นการลงทุนในธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) และสร้างความสามารถในการแข่งขันให้แก่ทั้งกลุ่มได้ มุ่งสู่การสร้างรายได้ประจำเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 ใน 5 ปีข้างหน้า เพื่อให้กลุ่มเติบโตอย่างยั่งยืน

การประกอบธุรกิจแยกตามกลุ่มธุรกิจ แบ่งเป็น 4 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจพรีคาสท์และก่อสร้าง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ธุรกิจโรงพยาบาล และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ โดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรมสำหรับกระบวนการผลิตสินค้าและบริการของธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

ธุรกิจพรีคาสท์

ลักษณะผลิตภัณฑ์และการบริการ

ภายหลังการปรับโครงสร้างองค์กรและแยกหน่วยธุรกิจพรีคาสท์ซึ่งดำเนินงานโดย บจ. อินโน พรีคาสท์ (“Inno Precast”) ออกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอยู่ภายใต้ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท (“พฤกษา เรียลเอสเตท” หรือ “PS”) โดยพฤกษา โฮลดิ้ง ถือหุ้นร้อยละ 45 ใน Inno Precast และถือหุ้นร้อยละ 18.26 ใน บมจ. เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (“GEL”) เพื่อขยายโครงสร้างธุรกิจพรีคาสท์ ทำให้ Inno Precast กลายเป็นผู้ผลิตพรีคาสท์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมด้วยเทคโนโลยีการผลิตแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ (Low Carbon Precast) ที่ทันสมัยและเป็นระบบอัตโนมัติ (Automation) ที่มีประสิทธิภาพสูง เสริมด้วยความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นจาก GEL ในด้านการทำการตลาดและการมีฐานลูกค้าจำนวนมาก รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการก่อสร้างงานฟาซาด โครงการขนาดใหญ่และคอนโดมิเนียม ความร่วมมือดังกล่าวทำให้ Inno Precast มีความสามารถในการแข่งขันครบทุกด้าน

Inno Precast ประกอบธุรกิจผลิตและติดตั้งแผ่นพรีคาสท์ โดยเป็นโรงงาน Green Factory ใช้แนวคิด “ขยะเหลือศูนย์” (Zero Waste) เพื่อเป็น “Net Zero Carbon Emission” ในกระบวนการผลิต Inno Precast นำเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตแผ่นพรีคาสท์ที่ทันสมัยจากประเทศเยอรมนีมาใช้ ทำให้การใช้วัสดุเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น กระบวนการผลิตเหล็กตะแกรงใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ (Mesh Welding Plant) ตัดเหล็กให้มีขนาดตามแบบและไม่เหลือเศษ (Zero Waste) การใช้ระบบ Recycling Concrete นำเศษคอนกรีตที่เหลือกลับมาใช้ในการผลิตคอนกรีตอีกครั้ง รวมถึงการนำเข้าเทคโนโลยี “คาร์บอนเคียว” (CarbonCure) มาใช้เป็นรายแรกในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย เพื่อผลิตแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้คอนกรีตแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ลดอัตราการใช้ซีเมนต์ได้กว่าร้อยละ 4-6 ของการใช้ซีเมนต์ในกระบวนการผลิตทั้งหมด เทคโนโลยีคาร์บอนเคียวจึงเป็นเทคโนโลยีสีเขียวที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) และตอกย้ำความเป็นอันดับหนึ่งในตลาดแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำแห่งเดียวในประเทศไทย นอกจากนี้ Inno Precast ยังติดตั้งโซลาร์เซลล์ในโรงงาน และออกแบบให้โรงงานพรีคาสท์ที่นวนครเป็นโรงงานคอนกรีตระบบปิด มีระบบเครื่องจับฝุ่น (Dust Collector) ทำให้ไม่มีฝุ่นปล่อยออกสู่ภายนอก โดยผลจากการปรับใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เข้าในกระบวนการ ทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงไปได้เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 55 ต้นต่อการผลิตบ้านพรีคาสท์ 1 หลัง

การนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยมาใช้ตลอดทั้งกระบวนการ ทำให้ได้แผ่นพรีคาสท์ที่มีคุณภาพดีตามมาตรฐานสากล ตั้งแต่

  • เหล็กเสริมที่ได้จากเครื่องจักรที่ผลิตเหล็กตะแกรงอัตโนมัติ ทำให้ได้เหล็กเสริมที่เป็นไปตามแบบของผู้ออกแบบเพื่อนำไปผลิตชิ้นงานพรีคาสท์
  • คอนกรีตที่ผลิตจาก Batching Plant ระบบปิดควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์
  • การขนส่งคอนกรีตไปยังเครื่องเทด้วยกระสวยลำเลียงทำให้คอนกรีตสดใหม่ผ่านเครื่องเขย่าระบบไร้เสียง (Shaking Machine) ทำให้คอนกรีตแน่นสม่ำเสมอ
  • การบ่มคอนกรีตในห้องบ่มระบบปิดด้วยระบบอัตโนมัติ ทำให้ได้ชิ้นงานที่มีคุณภาพ
  • การใช้โต๊ะหล่อผลิตจากประเทศเยอรมนีที่ใช้เหล็กแผ่นเดียวไม่มีรอยต่อ และขัดผิวหน้าคอนกรีตด้วยเครื่องขัดคอนกรีต ทำให้ผิวชิ้นงานมีความเรียบสม่ำเสมอทั้งแผ่น
  • การประกอบแบบข้างด้วยหุ่นยนต์อัตโนมัติ ซึ่งผลิตจากประเทศเยอรมนี ยึดกับโต๊ะหล่อด้วยแม่เหล็กกำลังสูง ทำให้ได้ชิ้นงานที่มีขนาดเป็นไปตามแบบ

Inno Precast คิดค้นนวัตกรรมในการก่อสร้างด้วยระบบพื้นคอนกรีตอัดแรงแบบผสมผสาน (Precast Prestressed Hybrid Slab) เป็นรายแรกในประเทศไทย โดยนำแผ่นพื้นแบบกลวง (Hollow Core) ที่ผลิตโดยเครื่องจักรอัตโนมัติ ซึ่งเป็นระบบพื้นคอนกรีตอัดแรงที่มีรูตรงกลางแผ่น ทำให้แผ่นพื้นมีน้ำหนักเบา แต่ยังคงรับแรงได้เหมือนเดิม ช่วยให้น้ำหนักบ้านลดลงทำให้ประหยัดต้นทุนในโครงสร้างอื่น ช่องอากาศภายในช่วยลดการผ่านของเสียง และการแพร่กระจายของอุณหภูมิไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิร้อนหรือเย็น โดยจะใช้ร่วมกับแผ่นพื้นคอนกรีตอัดแรงแบบตัน (Prestressed Solid Slab) ซึ่งจะมีคุณสมบัติกันน้ำรั่วซึมได้เป็นอย่างดี โดยจะใช้กับส่วนที่ต้องรับน้ำ เช่น ห้องน้ำ ระเบียง โดยภาพรวมแล้วระบบพื้น Precast Prestressed Hybrid Slab นี้จะช่วยลดการใช้คอนกรีต แต่มีความแข็งแรง ปลอดภัย และลดค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและการจัดส่งวัสดุด้วยน้ำหนักของโครงสร้างที่เบา ทำให้สร้างบ้านในราคาที่เหมาะสมและคุ้มค่าสูงสุด

ในปี 2567 Inno Precast ได้ยกระดับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำการผลิตแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ ผ่านรางวัลซึ่งการันตีถึงความสำเร็จ ได้แก่ การรับรอง Carbon Footprint Label Certificate จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยแบ่งเป็น Carbon Footprint Reduction (CFR) สำหรับ Precast Wall ซึ่งเป็นรายแรกและรายเดียวในอุตสาหกรรมพรีคาสท์ในประเทศไทย และ Carbon Footprint of Product (CFP) ให้กับ Precast Wall, Solid Slab และ Hollow Core Slab นอกจากนั้น บริษัทยังคงมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีแผนที่จะดำเนินกิจกรรมพัฒนากระบวนการสำหรับการขอ CFR ให้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์ภายในปี 2568 ด้วย

ในด้านนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและการแข่งขัน บริษัทได้นำระบบ Precast Prestressed Hybrid Slab ซึ่งได้รับรางวัล Asian Technology Excellence Awards 2024 จัดโดย The Asian Business Review นิตยสารด้านธุรกิจและเทคโนโลยีชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน ในกลุ่ม Charlton Media Group เข้ามาใช้ควบคู่กับแผ่นพรีคาสท์และระบบเสาคานสำเร็จรูป ซึ่งสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่ต้องการอิสระในการต่อเติมบ้าน หรือในพื้นที่ที่ยากต่อการเข้าถึง รวมถึงลดระยะเวลาในการก่อสร้างอีกทั้งยังมีการพัฒนาคอนกรีตสมรรถนะสูง (Ultra-High Performance Concrete) โดยสามารถตอบโจทย์ความต้องการในอนาคต ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมที่สามารถผลิตชิ้นงานที่มีขนาดเล็กลง ใช้ปริมาณคอนกรีตลดลง ลดปริมาณการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ แต่ยังคงคุณสมบัติความแข็งแรงได้เท่าเดิม ซึ่งสามารถนำไปใช้กับกลุ่มลูกค้ารายย่อย (B2C) ที่มีข้อจำกัดในด้านพื้นที่และการเข้าถึงของเครื่องจักรได้ อีกทั้งยังสามารถต่อยอดไปยังการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ได้ในอนาคต

กำลังการผลิตแผ่นพรีคาสท์

โรงงานพรีคาสท์ประกอบด้วย 9 โรงงาน มีกำลังการผลิตรวม 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี แบ่งเป็น

  • โรงงานผลิตผนัง ผลิตด้วยระบบอัตโนมัติ (Automated Carousel System) จำนวน 4 โรงงาน คือ PCF1 และ PCF5 ที่ลำลูกกา PCF6 ที่นวนคร และ PCF8 ที่เชียงรากน้อย
  • โรงงานผลิตพื้นและคานคอดิน ผลิตด้วยระบบคอนกรีตอัดแรง (Prestressed Long Bed System) จำนวน 2 โรงงาน คือ PCF3 ที่ลำลูกกาและ PCF7 ที่นวนคร
  • โรงงานผลิตชิ้นงานรูปร่างพิเศษ บันได และรั้ว ผลิตด้วยระบบ Fixed Mould/Battery Mould จำนวน 2 โรงงาน คือ PCF2 และ PCF4 ที่ลำลูกกา และอีก 1 โรงงาน คือ PCF9 ที่เชียงรากน้อย

ธุรกิจก่อสร้าง

ลักษณะผลิตภัณฑ์และการบริการ

ในปี 2567 บจ. อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น (“Inno Home”) ดำเนินธุรกิจมาครบ 1 ปี หลังจากที่แยกหน่วยธุรกิจก่อสร้างออกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท เป็นบริษัทในเครือ บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง เพื่อการบริหารงานที่คล่องตัวและสามารถนำเสนอบริการสำหรับลูกค้าใหม่และตลาดใหม่ ในปัจจุบัน Inno Home กลายเป็นผู้นำในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยให้บริการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและอาคารต่าง ๆ ได้แก่ โรงพยาบาล โรงพยาบาลผู้สูงอายุคอนโดมิเนียม โกดังคลังสินค้า ฯลฯ ในปี 2566 Inno Home มียอดการสร้างบ้าน จำนวน 3,516 หลัง ซึ่งเป็นระบบพรีคาสท์คอนกรีตทั้งหมด (Fully Precast) และโรงพยาบาลผู้สูงอายุ 1 โครงการที่วัชรพลซึ่งเป็นระบบพื้นคอนกรีตอัดแรงภายหลังชนิดมีแรงยึดเหนี่ยว (Post Tension) และในปี 2567 มียอดการสร้างบ้านจำนวน 2,819 หลัง และโรงพยาบาลผู้สูงอายุ 1 โครงการที่แบริ่ง

จุดเด่นของ Inno Home คือ การมีทีมงานก่อสร้างที่มีศักยภาพสูงและมีประสบการณ์การก่อสร้างมาอย่างยาวนาน ทำให้การก่อสร้างมีความรวดเร็ว มีคำสั่งซื้อในมือสูงจากบริษัทในเครือและบริษัทที่เป็นพันธมิตรกันมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุดผ่านระบบจัดซื้อจัดจ้างด้วย Blockchain แบบการประมูลรายปีด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Auction) กับคู่ค้ารายใหญ่ในประเทศที่เป็นสัญญาระยะยาว ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Inno Home สามารถจัดหาวัสดุในราคาที่แข่งขันได้ เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าใหม่รายย่อย (B2C) และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (B2B) ซึ่งเป็นการขยายทั้งฐานลูกค้าใหม่และตลาดใหม่ รวมถึงเร่งขยายธุรกิจการให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการสร้างรายได้อย่างมั่นคงอีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ บริษัทมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการให้บริการด้านการออกแบบ ด้านนวัตกรรมการก่อสร้างที่ครบวงจร และการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ (Inno Solution) ร่วมกับบริษัทในเครือ บมจ. พฤกษา โฮลดิ้ง ได้แก่ บจ. อินโน พรีคาสท์ และ บจ. ซินเนอร์จี โกรท โดยมุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรทุกด้านอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ ส่งเสริมให้มีการก่อสร้างและการเลือกใช้วัสดุทางเลือกในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในการก่อสร้าง และนำผลการประเมินมาพิจารณาจัดหาวัสดุหรือแนวทางการลด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม โดยการพัฒนาด้านนวัตกรรมในงานก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน ประกอบด้วย

  • การใช้โดรนบินสำรวจสภาพโครงการก่อนการก่อสร้างจริง และการถมที่ดินสำหรับโครงการขนาดใหญ่
  • การบริหารทรัพยากรในงานก่อสร้างอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดส่งวัสดุแบบทันเวลาพอดี (Just-in-time) เพื่อให้การบริหารหน้างานมีประสิทธิภาพ
  • การเลือกใช้วัสดุทางเลือกในงานก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์ได้รับฉลากลดคาร์บอนฟุตพรินต์ ผลิตภัณฑ์ฉลาก SCG Green Choice เช่น สีทาบ้าน TOA กระเบื้องพื้น COTTO กระเบื้องหลังคา SCG สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ COTTO และ KOHLER เครื่องปรับอากาศ DAIKIN คอนกรีต INSEE และ CPAC รวมถึงหลอดไฟ PHILIPS
  • การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากงานก่อสร้าง และดำเนินการควบคุมให้อยู่ในระดับความปลอดภัยตามมาตรฐานสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) อาทิ การควบคุมปริมาณฝุ่น ความดังเสียง การส่งกลิ่นเหม็น การปล่อยน้ำเสียออกจากโครงการก่อสร้างไม่ให้เกินระดับที่ยอมรับได้ และการใช้ระบบ IOT ควบคุมการทำงานของระบบบำบัดน้ำเสียในโครงการแบบออนไลน์
  • การบริหารจัดการเพื่อลดการใช้พลังงานสิ้นเปลือง เช่น ลดการใช้น้ำมันจากเครนขนาดเล็กเพื่อยกชิ้นส่วนพรีคาสท์ที่มีขนาดเล็กลง (Precast-X) เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงงานก่อสร้างบ้านที่ตั้งในซอยขนาดเล็กได้ ติดตั้งโซลาร์รูฟสำหรับบ้านตัวอย่าง สำนักงานขาย สโมสร และระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า
  • การคัดเลือกผู้รับเหมาช่วงที่มีความสามารถและเหมาะสมกับประเภทงาน เพื่อให้งานก่อสร้างได้มาตรฐาน เป็นแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ และพัฒนาระบบบริหารคุณภาพงานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง

การจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการ สำหรับธุรกิจก่อสร้างโครงการแนวราบ

ห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจก่อสร้าง

1. การออกแบบแนวคิดธุรกิจและสถาปัตยกรรม

ศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อพัฒนาแนวคิดสำหรับโครงการก่อสร้างและกำหนดรายละเอียดพื้นฐานของโครงการ ได้แก่ การออกแบบสถาปัตยกรรม การวางผังโครงการ รวมถึงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาโครงการ

2. การออกแบบทางวิศวกรรมและการประมาณราคา

นำแบบสถาปัตยกรรมมาออกแบบทางวิศวกรรมด้วยทีมงานมืออาชีพ ร่วมกับ Inno Precast ในการออกแบบโครงสร้างบ้าน และ Inno Home ในการออกแบบงานเสาเข็มและงานสาธารณูปโภคในโครงการจากแนวคิดทางธุรกิจที่กำหนดขึ้น ดำเนินการประมาณราคาต้นทุนการก่อสร้างจากแบบที่กำหนด โดยใช้ข้อมูลราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้างและแรงงานที่มีการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอให้ข้อมูลเป็นปัจจุบัน

3. การคัดเลือกคู่ค้า วัสดุก่อสร้าง และการสรรหาผู้รับเหมาก่อสร้าง

ดำเนินงานร่วมกันระหว่างทีมออกแบบ ทีมก่อสร้าง ทีมจัดซื้อของบริษัท ในการคัดเลือกคู่ค้า วัสดุก่อสร้าง และผู้รับเหมา โดยการร่วมประเมิน ตรวจสอบ และให้คะแนนValue Score ทั้งด้านภาพลักษณ์ คุณภาพวัสดุ การก่อสร้าง การส่งมอบตรงเวลาและการบริการหลังการขาย โดยการประเมินผลร่วมกันเป็นระยะ ๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการคัดเลือกจากฐานข้อมูลที่สามารถใช้ในการตรวจสอบภายหลังได้ หากเป็นคู่ค้าที่ดีจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นคู่ค้าพันธมิตร (Partnership) มีสัญญาต่อเนื่อง 3 ปีเพื่อส่งเสริมให้คู่ค้ารักษาคุณภาพและบริการ มีการฝึกอบรมวิธีการก่อสร้างตามมาตรฐานของบริษัทให้กับผู้รับเหมาอยู่เสมอ โดยมีหัวหน้างานประจำแต่ละโครงการเพื่อควบคุมและตรวจรับงานอย่างใกล้ชิด

4. การจัดซื้อจัดจ้าง

วางแผนจัดซื้อจัดจ้างเป็นระบบผ่าน E-Auction เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) รักษาคุณภาพของวัสดุก่อสร้าง และสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของราคาวัสดุก่อสร้างได้ นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นจัดหาคู่ค้าที่เป็นรายใหญ่ โดยการประเมินและเปรียบเทียบกำลังการผลิต และศักยภาพในการจัดหาวัสดุ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีคู่ค้ารายใหญ่ที่มีศักยภาพสูงและสามารถปฏิบัติงานได้ตรงตามมาตรฐานประมาณ 800 รายในฐานข้อมูลของบริษัท

5. งานถมดินและงานเสาเข็ม

ดำเนินการนำตัวอย่างดินไปทดสอบตามหลักวิศวกรรม ทั้งก่อนเริ่มดำเนินการและทดสอบความหนาแน่นของดินให้เป็นไปตามมาตรฐานวิศวกรรม ระหว่างขั้นตอนการถมดินเป็นชั้น ๆ พร้อมตรวจสอบค่าระดับก่อนส่งมอบพื้นที่สำหรับงานเสาเข็มซึ่งถือเป็นงานโครงสร้างที่สำคัญ บริษัทใช้เสาเข็มที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน มอก. 396-2549 มีการตรวจสอบตำแหน่งแนวดิ่งของเสาเข็ม ค่าการตอกเสาเข็ม (Blow Count) และค่าระยะทรุดตัวของเสาเข็มจากการตอก 10 ครั้ง (Last Ten Blow) ตามมาตรฐานหลักวิศวกรรมเพื่อทำให้มั่นใจว่าเสาเข็มรับน้ำหนักได้จริงตามที่ได้ออกแบบไว้ สุดท้ายมีการทดสอบเสาเข็มด้วยวิธี Seismic Test เพื่อตรวจสอบความสมบูรณ์ของโครงสร้างเสาเข็ม ซึ่งระหว่างการตอกเสาเข็ม จะดำเนินงานภายใต้มาตรการความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด

6. กระบวนการก่อสร้าง

ให้บริการงานก่อสร้างแนวราบแบบครบวงจร โดยจัดให้มีทีมวิศวกรที่มีความชำนาญทำหน้าที่ควบคุมและตรวจสอบการปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ถูกต้องตามหลักวิชาชีพทางวิศวกรรมและมาตรฐานการทำงานที่กำหนด บริหารจัดการความคืบหน้าการก่อสร้างและงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงาน ดำเนินการตามข้อบังคับด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ดูแลการเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชนและผู้อยู่อาศัยรอบพื้นที่ก่อสร้างให้น้อยที่สุด ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาว่าจ้างอย่างครบถ้วน โดยระหว่างการก่อสร้างจะมีการประเมินผลงานและวางแผนร่วมกันกับทีมขายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมจำนวนสินค้าคงเหลือให้เป็นไปตามแผนการที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีต้นทุนจม และมีกระแสเงินสดหมุนเวียนในบริษัทอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มุ่งสู่เป้าหมายของเสียเป็นศูนย์ (Zero Defect) ให้ความสำคัญกับคุณภาพของงานก่อสร้างภายใต้การบริหารจัดการที่ดี คัดเลือกผู้รับเหมาช่วงที่มีความสามารถและเหมาะสมกับประเภทงาน พัฒนามาตรฐานการก่อสร้าง นำไปขยายผลและประยุกต์ใช้ในระบบการดำเนินการกับผู้ขาย (Supplier) และผู้รับเหมา (Contractor) ร่วมพัฒนาคุณภาพสินค้าและการให้บริการของคู่ค้า ปรับปรุงและพัฒนาระบบบริหารคุณภาพผ่านระบบการบริหารจัดการงานประจำวันในงานก่อสร้าง เพื่อพัฒนาและควบคุมงานตามรูปแบบการจัดการคุณภาพโดยรวม (Total Quality Management)

7. การส่งมอบบ้านให้กับลูกค้า

มีกระบวนการตรวจสอบคุณภาพระหว่างการส่งมอบงานแต่ละขั้นตอนอย่างเข้มงวดทั้งโครงสร้างมาตรฐาน ระบบไฟฟ้า ประปา ที่ถูกต้องตามแบบ โดยภายหลังการก่อสร้างเสร็จสิ้น จะมีกระบวนการทดสอบการใช้งานเพื่อตรวจสอบทั้งระบบ ได้แก่ ไฟฟ้า ประปา สุขาภิบาล อุปกรณ์ทั้งห้องน้ำ ประตู-หน้าต่าง และอุปกรณ์นอกบ้าน ให้พร้อมใช้งาน ก่อนจะ ส่งมอบบ้านพร้อมขายให้กับลูกค้าหลักหรือก็คือ พฤกษา เรียลเอสเตท และลูกค้าทั่วไป

กำลังการผลิตของธุรกิจก่อสร้าง

งานบริหารการก่อสร้างแนวราบ แบ่งเป็นสายการผลิต (Production Line) ทั้ง 45 สายผลิต สามารถก่อสร้างบ้านทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น ได้ 630 หลังต่อเดือน หรือบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ได้ 270 หลังต่อเดือน

การบริหารจัดการและแบ่งปันทรัพยาการด้านก่อสร้างสำหรับโครงการแนวราบให้เกิดประโยชน์สูงสุด

บริษัทมุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรด้านก่อสร้างระหว่างทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดภายนอก โดยจัดการงานก่อสร้างแบบ Zoning ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็น 4 โซน ได้แก่ เหนือ-ตะวันออก ใต้-ตะวันออก เหนือ-ตะวันตก และใต้ตะวันตก (ไม่รวมต่างจังหวัด) ทำให้งานบุคลากรและทรัพยากรได้รับประโยชน์สูงสุดระหว่างการก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยว ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารต้นทุนโครงการ และเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดได้

ธุรกิจก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม

การบริหารจัดการงานก่อสร้างคอนโดมิเนียม ได้ถูกปรับเปลี่ยนจากก่อสร้างเองเป็นการว่าจ้างผู้รับเหมาภายนอก เพื่อการบริหารต้นทุนและคุณภาพให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายในไทยมีขนาดใหญ่และมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคารสูงโดยเฉพาะ รวมถึงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมจะต้องดำเนินการเป็นรายโครงการและไม่ใช่งานต่อเนื่องทำให้ยากต่อการบริหารจัดการบุคลากรภายหลังการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ การว่าจ้างผู้รับเหมาภายนอกจึงเป็นทางออกที่เหมาะสม

ในช่วงที่ผ่านมา โดยพฤกษา เรียลเอสเตท จะเริ่มต้นศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาแนวคิดสำหรับโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม พร้อมทั้งกำหนดรายละเอียดพื้นฐานของโครงการ และประมาณราคาเบื้องต้น หลังจากนั้น จะเป็นการว่าจ้างผู้รับเหมาภายนอกให้มาประมูลราคาและออกแบบทางวิศวกรรม จนถึงขั้นตอนงานก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์

ลักษณะผลิตภัณฑ์และการบริการ

พฤกษา เรียลเอสเตท ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในทุกพื้นที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตามพันธกิจหลักขององค์กร คือ “Live well Stay well” หรือ “อยู่ดี มีสุข” โดยแนวคิดนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างที่อยู่อาศัยที่ดี แต่มุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกค้า ผ่านการเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องให้เข้ากับรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่ (Mega Trends) เพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตและการพัฒนาที่อยู่อาศัย ในปี 2567 พฤกษา เรียลเอสเตท ปรับรูปแบบธุรกิจโดยเน้นความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งพัฒนาโครงการในระดับราคากลางถึงสูงเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ของโครงการที่เปิดใหม่ในปี เพื่อให้มีส่วนผสมของโครงการระดับล่างอยู่ที่ร้อยละ 30 ระดับกลางร้อยละ 40 และระดับกลางถึงบนร้อยละ 30 ให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยเลือกเปิดโครงการในทำเลดี ศักยภาพสูง ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ารายได้ระดับกลางถึงสูงที่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมิใช่เพื่อการเก็งกำไร (Real Demand) พร้อมปรับปรุงภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เกิดความชัดเจนในการบริหารแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์

พฤกษา เรียลเอสเตท วางกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้งยอดขายและยอดโอนตามที่วางแผนไว้ในปี 2567 โดยมีกลยุทธ์พื้นฐาน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงการพัฒนาบุคลากรและแนวทางการทำงานภายในเป็นรูปแบบ Agile Working Method และ Design Thinking ประกอบกับการพัฒนาแกนหลักของธุรกิจผ่านกลยุทธ์ Strengthen the Core โดยเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้า Real Demand พร้อมทั้งจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในระดับราคาสูงเพื่อการเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง เสริมความแข็งแกร่งด้วยความร่วมมือกับบริษัทในเครือพฤกษา โฮลดิ้ง ทั้ง บจ. โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง และ บจ. ซินเนอร์จี โกรท เพื่อพัฒนาการให้บริการทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีการอยู่อาศัยให้สอดคล้องกับ Mega Trends โดยมีการพัฒนาโครงการเพื่อผู้อยู่อาศัยทุกวัย พัฒนาโครงการที่มีการออกแบบบ้านด้วยแนวคิด Wellness Residences ต่อยอดจาก Passive Home ใช้พลังงานอย่างยั่งยืนผ่านการติดโซลาร์เซลล์ และใช้เทคโนโลยี Home Automation ภายในโครงการเชื่อมต่อกับ MyHaus Application เพื่อส่งมอบที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้ลูกค้าได้

ปัจจุบัน PS แบ่งธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์ กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว และกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโดมิเนียม

กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์ มีโครงการที่เปิดขายแล้วภายใต้ชื่อ (แบรนด์) ดังนี้

บ้านทาวน์เฮ้าส์

พฤกษา เรียลเอสเตท เป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 1-2 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ บ้านพฤกษา ระดับราคา 2-5 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ พฤกษาวิลล์ และแบรนด์ เดอะคอนเนค รวมถึงขยายการพัฒนาบ้านกลุ่มลูกค้าในระดับราคามากกว่า 5 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ พาทิโอ โดยเน้นกลุ่มลูกค้า Real Demand ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ

กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์ ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีสำหรับทุกคน จึงมุ่งเน้นการพัฒนาด้านฟังก์ชันการใช้งานและการสร้างการอยู่อาศัยในลักษณะการสร้างชุมชนการอยู่อาศัยที่ดีร่วมกัน (Community) ที่ประกอบไปด้วยหลากหลายโซน เช่น โซนการค้าขายและธุรกิจ โซนที่อยู่อาศัย โซนสุขภาพและเวลเนส โดยดำเนินการร่วมกับบริษัทในเครือพฤกษา เพื่อมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านลีฟวิ่ง โซลูชัน อย่างสมบูรณ์และการอยู่อาศัยแบบมีคุณภาพชีวิตที่ดี (Well-being) เพื่อตอบสนองกับการใช้ชีวิตในทุกช่วงอายุ เช่น โครงการ The Connect Neu Town ซึ่งจะเริ่มเปิดขายในปี 2568

กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์ มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 12 ของส่วนแบ่งตลาดทาวน์เฮ้าส์ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 34 ของรายได้อสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ

กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว มีโครงการที่เปิดขายแล้วภายใต้ชื่อ (แบรนด์) ดังนี้

บ้านเดี่ยว

กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว คือ ลูกค้าในกลุ่มระดับราคา 4-30 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ระดับราคา 4-7 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ เดอะแพลนท์ ระดับราคา 8-15 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ ภัสสร ระดับราคา 15-30 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ เดอะปาล์ม โดยในปี 2567 ได้เปิดโครงการสำหรับบ้านระดับราคามากกว่า 30 ล้านบาท (Super Luxury) จำนวน 2 โครงการ คือ เดอะปาล์ม เรสซิเดนเซส พัฒนาการ และ เดอะปาล์ม เรสซิเดนเซส วัชรพล พร้อมกันนี้ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ ไพนน์ (Pine) ซึ่งเป็นบ้านในรูปแบบเวลเนสเต็มรูปแบบแห่งแรกของพฤกษา เรียลเอสเตท เพื่อตอบโจทย์แนวคิด “อยู่ดี มีสุข” โดยโครงการแรก ได้แก่ ไพนน์ เวลเนส เรสซิเดนซ์ บนถนนประชาชื่น ระดับราคา 12-20 ล้านบาท ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 3 ชั้น พร้อมสวนหลังบ้าน รองรับการอยู่ร่วมกันของสมาชิกในครอบครัวทุกช่วงวัย นำนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาลวิมุต และสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันจาก MyHaus เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัย

กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว มีนโยบายที่มุ่งเน้นเรื่องความเป็นเลิศด้านผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้บ้านที่ตอบสนองความต้องการของทั้งลูกค้าและการใช้งานด้านสุขภาพ การใช้ชีวิตและความยั่งยืน โดยเริ่มต้นการพัฒนาต้นแบบในโครงการ เดอะปาล์ม ในรูปแบบของ Wellness Residence คือการนำเอาบริการที่ลูกค้าต้องการมาผนวกเข้ากับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของโครงการใน 3 ด้าน ได้แก่ 1) บริการด้านการแพทย์ (Medical Service) ผ่านการนำเสนอบริการทางการแพทย์ เช่น การจัดให้มีแพทย์ประจำโครงการ และให้คำปรึกษาด้านสุขภาพเบื้องต้นได้ผ่านเทคโนโลยี Telemedicine 2) บริการด้านสุขภาพเชิงป้องกัน (Wellness Service) ผ่านการนำบริการและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีในการอยู่อาศัยมาให้กับลูกค้าในโครงการ เช่น การออกแบบสินค้าร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และการนำเอานวัตกรรมการแลกเปลี่ยนอากาศภายในบ้านมาใช้งาน 3) บริการด้านการใช้ชีวิต (Lifestyle Service) ผ่านการพัฒนาบริการและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวันมาใช้ในโครงการร่วมกับบริษัทในเครือพฤกษา โฮลดิ้ง เช่น การใช้ MyHaus Application การติดตั้งโซลาร์เซลล์ รวมถึงการบริการสั่งซื้อสินค้าผ่าน Clickzy ทั้งนี้จะขยายผลการดำเนินการเพื่อให้ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ของบ้านเดี่ยวให้ครบทุกแบรนด์ในอนาคต ตั้งแต่ปี 2567 กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยวโดยเฉพาะในระดับราคา 8 ล้านบาทขึ้นไป จะมุ่งเน้นการพัฒนาในลักษณะ Wellness Residences มากขึ้น เพื่อตอบสนองกับการใช้ชีวิตในทุกกลุ่มอายุ รวมทั้งมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับได้ เช่น TREES Certificate ของสถาบันอาคารเขียวไทย โดยในปี 2567 ได้ขอรับการรับรองมาตรฐาน TREES-Pre Home สำหรับแบบบ้านจำนวนสองแบบในโครงการ เดอะปาล์ม เรสซิเดนเซส พัฒนาการ เป้าหมายให้ได้ในระดับ Gold

พฤกษา เรียลเอสเตท ร่วมทุนกับบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (“ORI”) ในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแนวราบสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบนจำนวน 1 โครงการ ในทำเลที่มีศักยภาพและมีความต้องการของลูกค้าสูง โดยนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของพฤกษาด้านการพัฒนาที่พักอาศัยแนวราบ นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรจากกลุ่มโรงพยาบาล และการสนับสนุนจากกลุ่มธุรกิจในเครือที่หลากหลาย ทั้ง Inno Precast และ Inno Home ในด้านการใช้พรีคาสท์และการก่อสร้างมาร่วมพัฒนา โดยโครงการอยู่ระหว่างการถมที่ดินและเริ่มการก่อสร้าง คาดว่าจะพร้อมเปิดขายในเดือนมิถุนายน 2568 นอกจากนี้ ยังมุ่งแสวงหาโอกาสการขยายความร่วมมือในลักษณะพันธมิตรทางกลยุทธ์ด้านอื่น ๆ และขยายผลไปสู่บริษัทในเครือพฤกษาเพิ่มเติมในอนาคต

กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 4 ของส่วนแบ่งตลาดบ้านเดี่ยวในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 28 ของรายได้อสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ

กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโดมิเนียม มีโครงการที่เปิดขายแล้วภายใต้ชื่อ (แบรนด์) ดังนี้

คอนโด

กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโดมิเนียม พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมุ่งตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในกลุ่มลูกค้าทุกระดับ โดยแบรนด์เริ่มต้นในระดับราคาประหยัด 1-2 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ พลัมคอนโด ซึ่งเน้นความคุ้มค่าและตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างครบครัน แบรนด์ระดับกลาง ราคา 2-5 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ แชปเตอร์วัน เดอะทรี และเดอะไพรเวซี่ ซึ่งเน้นการพัฒนาตามรูปแบบความชื่นชอบและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของผู้บริโภค รวมถึงแบรนด์ระดับสูง และ Luxury Class ภายใต้แบรนด์แชปเตอร์ และเดอะรีเซิร์ฟ

กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโดมิเนียม มุ่งเน้นการสรรหาที่ดินที่มีศักยภาพ โดยบริหารสัดส่วนของคอนโดมิเนียมแนวราบ (Low Rise) และคอนโดมิเนียมแนวสูง (High Rise) เพื่อการบริหารรายได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยมุ่งเน้นลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง (Customer Centric) คำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเพื่อสร้างความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์ (Product Differentiation) ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ด้วยการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ โดยในปี 2567 มีโครงการเปิดใหม่ที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านการพัฒนาโครงการและในด้านยอดขาย ได้แก่ แชปเตอร์วัน มอร์ เกษตร คอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่พัฒนาด้วยแนวคิดสไตล์เบาเฮาส์ (Bauhaus) ด้วยทำเลใกล้มหาวิทยาลัยใจกลางเมือง เหมาะทั้งลงทุนปล่อยเช่าและอยู่อาศัยเอง รวมถึงการออกแบบที่ตรงใจผู้บริโภค และพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 2 ไร่ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ในปี 2567 สร้างยอดขายนับตามจำนวนยูนิตร้อยละ 48 ของจำนวนยูนิตทั้งหมด

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการใหม่ที่พร้อมเปิดตัวในปี 2568 ในหลากหลายทำเลที่น่าสนใจ เช่น โครงการพลัมคอนโด ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าและเดินทางเข้าเมืองสะดวก รวมถึงโครงการระดับสูง ติดแม่น้ำเจ้าพระยา บนทำเลหายากใจกลางเมือง หรือโครงการใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เหมาะกับทั้งผู้ที่อยู่อาศัยเองหรือลงทุนปล่อยเช่า

นอกจากนี้ พฤกษา เรียลเอสเตท ได้ร่วมทุนเชิงกลยุทธ์กับ ORI เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโปรเจกต์มิกซ์ยูส โดยใช้จุดแข็งของบริษัททั้งด้านเงินทุนและความหลากหลายของธุรกิจ ร่วมกับ ORI สำหรับธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) จากความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ พฤกษาจะได้ประโยชน์จากการนำที่ดินที่มีอยู่ในมือมาพัฒนาผ่านแบรนด์ใหม่เพื่อสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ และสร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการคอนโดมิเนียมคาดว่าจะเปิดขายปี 2568 และโปรเจกต์มิกซ์ยูส ที่ประกอบไปด้วยโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ และศูนย์บริการด้านสุขภาพคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในปี 2571

กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโดมิเนียม มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 3 ของส่วนแบ่งตลาดคอนโดมิเนียมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 24 ของรายได้อสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ

ลักษณะผลิตภัณฑ์และการบริการ

บจ. โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง (“วิมุต”) ดำเนินการตามกลยุทธ์กลุ่ม ได้แก่

  1. การให้บริการด้านสุขภาพอย่างครบวงจร ผ่านการขยายทั้งด้านบริการและผลิตภัณฑ์ สร้างชุมชนสุขภาพดี ส่งเสริมโปรแกรมการดูแลสุขภาพและไลฟ์สไตล์อย่างเหมาะสมกับลูกค้าในทุกช่วงวัย โดยเป็นศูนย์การแพทย์ระดับตติยภูมิขั้นสูง (Super Tertiary Care) ที่มีความเชี่ยวชาญในทุกสาขาเฉพาะทาง เพื่อให้บริการด้านสุขภาพที่ครอบคลุมและครบถ้วนในระดับสูงสุด
  2. การขยายขีดความสามารถในองค์รวมเพื่อมุ่งสู่มาตรฐานการแพทย์ระดับสากล ทั้ง Hospital Accreditation (HA), Joint Commission International (JCI) และ American Accreditation Commission International (AACI) มุ่งยกระดับคุณภาพบริการและการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า
  3. การพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านโมเดลการทำกำไรและการสร้างการเติบโต สรรหาธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ประจำ ขยายขนาดผ่านการร่วมทุนและสร้างความร่วมมือกับพันธมิตร โดยเฉพาะกองทุนกลุ่มเฮลท์แคร์ทั้งในและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญ และพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ผ่านความร่วมมือภายในกลุ่มพฤกษา โฮลดิ้ง
  4. การสร้างองค์กรอัจฉริยะ ด้วยการพัฒนาความสามารถของพนักงาน ยกระดับสู่องค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล มุ่งสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลและโรงพยาบาลเสมือนจริงพร้อมทั้งสร้างแบรนด์วิมุตให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ควบคู่กับการดำเนินงานที่ใส่ใจพลังงานอย่างยั่งยืน โดยมุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านการประหยัดพลังงานจนได้รับรางวัล MEA Energy Saving Award ระดับ Platinum

โดยผ่านการขยายแพลตฟอร์มทั้งในรูปแบบของออฟไลน์และออนไลน์ แบ่งเป็น

  1. กลุ่มโรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลวิมุต โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ และโรงพยาบาลเฉพาะทาง
  2. ส่วนต่อขยายจากโรงพยาบาลในรูปแบบเวลเนส ได้แก่ โรงพยาบาลผู้สูงอายุ และคลินิกบ้านหมอวิมุต
  3. การลงทุนใหม่ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภายในและภายนอกกลุ่มทั้งภายในและต่างประเทศ

กลุ่มโรงพยาบาล

โรงพยาบาลวิมุต

โรงพยาบาลแห่งแรกของกลุ่มโรงพยาบาลวิมุต บนพื้นที่ขนาดประมาณ 4 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธินใกล้สี่แยกสะพานควาย เปิดให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2564 ตัวอาคารออกแบบเพื่อรองรับการดูแลรักษาให้มีความปลอดภัย มีระบบหมุนเวียนอากาศ และการฆ่าเชื้อโรคในอากาศผ่านระบบ UV-C เพื่อลดการติดเชื้อทางเดินหายใจ การตกแต่งระบบดับเพลิง ระบบกำจัดของเสีย เป็นไปตามมาตรฐานโรงพยาบาลระดับ JCI เพื่อสุขภาพพลานามัยของผู้รับบริการและพนักงาน

โรงพยาบาลวิมุตเป็นโรงพยาบาลทั่วไปแบบพักค้างคืนขั้นตติยภูมิ (Tertiary Care) มีจำนวนเตียงจดทะเบียน 235 เตียง ปัจจุบันขยายการให้บริการเป็น 178 เตียง ให้บริการรักษาพยาบาลทั้งโรคทั่วไปและโรคที่มีความซับซ้อน โดยในปีที่ผ่านมาโรงพยาบาลได้ผ่านการรับรองมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ Hospital Accreditation (HA) ขั้น 3 และมาตรฐานของ Joint Commission International (JCI) ในปลายปี 2567 โรงพยาบาลได้ยกระดับคุณภาพและความปลอดภัยสากลเพื่อรองรับการเปิดบริการชั้น 14-16 สำหรับคนไข้ต่างชาติ ทั้งอาหรับ ออสเตรเลีย จีน และประเทศกลุ่ม CLMV ที่เพิ่มจำนวนขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

โรงพยาบาลวิมุตมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมศูนย์บริการทั้งหมด 25 ศูนย์ ได้แก่ ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด ศูนย์กระดูกและข้อ ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อและควบคุมน้ำหนัก ศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์สูตินรีเวช ศูนย์สุขภาพศูนย์อายุรกรรม ศูนย์หู คอ จมูก ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ศูนย์ดูแลฟื้นฟูสภาวะหลังวิกฤต ศูนย์จักษุ ศูนย์เลสิก ศูนย์สุขภาพใจ ศูนย์ศัลยกรรม ศูนย์ทันตกรรม ศูนย์ผิวหนังและความงาม ศูนย์กุมารเวช ศูนย์ไตเทียม ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ศูนย์เอกซเรย์ ศูนย์ฉุกเฉิน ศูนย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ศูนย์เต้านม ศูนย์ศัลยกรรมปรับโครงหน้า และแผนกตรวจสุขภาพองค์กรในรอบปี 2567 โรงพยาบาลวิมุตมุ่งมั่นพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะทางให้เพิ่มขึ้น โดยเริ่มพัฒนาโครงการศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence: COE) สำหรับโรคที่มีความซับซ้อน ได้แก่ หัวใจและหลอดเลือด ศัลยกรรมกระดูก สมองและระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร ตาและเลสิก รวมถึงการเพิ่มการบริการศัลยกรรมปรับโครงหน้า

โรงพยาบาลคัดสรรเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ป่วยและเพิ่มขีดความสามารถสู่ระดับสากล เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มประชากรที่ขับเคลื่อนประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดตัว 4 คลินิกเฉพาะทาง ได้แก่ คลินิกปวดศีรษะ คลินิกกรดไหลย้อนและท้องผูก คลินิกหัวใจเต้นผิดจังหวะ และคลินิกโรคจมูกและไซนัส เพื่อรองรับการดูแลโรคยอดฮิต ป้องกันภัยเงียบ ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมสำหรับกลุ่มคนวัยทำงานที่เป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังนำเสนอนวัตกรรม “FEMTO LDV Z8” ใช้เลเซอร์ไร้ใบมีดมาช่วยรักษาค่าสายตาและทำเลสิกเพื่อการมองเห็นชัดเจนให้รวดเร็วขึ้น ลดโอกาสการเกิดแผลและภาวะแทรกซ้อน พร้อมด้วยเทคนิคเลสิกรักษาค่าสายตา “ReLEx CLEAR” ที่เปิดแผลขนาดเล็กเพียง 2.6-3.0 มิลลิเมตร อีกหนึ่งเทคโนโลยีเด่น ได้แก่ iNAP (Intraoral Negative Airway Pressure Therapy) สำหรับการใช้รักษาอาการนอนกรน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนของภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่ส่งผลต่อสุขภาพคนไทยกว่า 3 ล้านคน เสริมด้วยศูนย์ศัลยกรรมตกแต่งใบหน้า ที่พร้อมให้บริการดูแลสุขภาพและความงามแบบองค์รวมรองรับเทรนด์การดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอกที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังใช้เทคโนโลยี UROLIFT สำหรับการรักษาต่อมลูกหมากโต ซึ่งใช้เวลาผ่าตัดเพียง 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจากทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย โดยเป็นผู้นำนวัตกรรมกลุ่มแรก ๆ ในประเทศที่นำมาให้บริการแก่ผู้ป่วยปัจจุบัน

โรงพยาบาลวิมุตยังคงมุ่งเน้นการเป็น Smart Hospital อย่างต่อเนื่องด้วยการนำระบบ Hospital Information System (HIS) เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลของผู้เข้ารับบริการทั้งโรงพยาบาล เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และยกระดับโรงพยาบาลด้วยบริการที่รวดเร็วทั่วถึง และแม่นยำ รวมถึงเพื่อสร้างชุมชนให้น่าอยู่และตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมปัจจุบันได้อย่างครอบคลุม ในการนี้ โรงพยาบาลวิมุตจึงขยายฐานการให้บริการออกไปในแนวกว้างเพื่อให้การบริการเป็นมากกว่าการรักษาโรคในโรงพยาบาล โดยจับมือกับ Naluri ผู้นำด้านโซลูชันการดูแลสุขภาพระดับองค์กรจากมาเลเซีย เพื่อพลิกโฉมวงการเฮลท์แคร์ไทย ด้วยการช่วยลูกค้ากลุ่มธุรกิจในการออกแบบการดูแลสุขภาพให้สอดคล้องกับความต้องการของพนักงาน โดยพนักงานสามารถใช้บริการได้อย่างสะดวกสบายผ่านแอปพลิเคชันที่ใช้ง่าย ซึ่งจะช่วยให้พนักงานจัดการทุกเรื่องสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยทางกาย สุขภาพใจ ตลอดจนติดตามและควบคุมโรคประจำตัวเรื้อรังต่าง ๆ อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิต ภาวะน้ำหนักเกิน การพัฒนาระบบการดูแลคนไข้ตั้งแต่ที่บ้านผ่านการเชื่อมต่อกับ ViMUT Application โรงพยาบาลยังเพิ่มช่องทางการให้บริการและให้ผู้รับบริการสามารถปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร จัดส่งยา หรือนัดหมายแพทย์ล่วงหน้าได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องมาที่โรงพยาบาล การยกระดับด้านดิจิทัลทำให้โรงพยาบาลวิมุตพัฒนาการจัดเก็บและรวมศูนย์ข้อมูลระหว่างโรงพยาบาลวิมุตและวิมุต-เทพธารินทร์ โดยมีดิจิทัลโซลูชันช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลและเชื่อมต่อการทำงานระหว่างส่วนงานต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ให้ทราบถึงความต้องการและพฤติกรรมของคนไข้อย่างสูงสุด

โรงพยาบาลวิมุตมีปริมาณการให้บริการเติบโตขึ้นทั้งคนไข้ในและคนไข้นอก ด้วยการจัดแพ็กเกจดูแลสุขภาพอย่างคุ้มค่าเพื่อให้โรงพยาบาลเป็นที่รู้จักมากขึ้น และสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องจากการเข้ารับการรักษาเพิ่มเติมภายหลังการตรวจร่างกายประจำปี โดยสร้างศูนย์ความเป็นเลิศและรักษาโรคเฉพาะทางเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังสร้างความร่วมมือกับแพทย์ที่มีชื่อเสียงนำคนไข้มารักษาที่โรงพยาบาล ต่อยอดความร่วมมือในโครงการร่วมรามาธิบดี-วิมุต โดยคนไข้ที่นัดหมายที่โรงพยาบาลรามาธิบดีสามารถเข้ารับการผ่าตัดที่วิมุตได้ โรงพยาบาลวิมุตยังสร้างฐานลูกค้าผ่านความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่และลูกค้าของบริษัทประกัน พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการคุ้มครองจากประกันภัยภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ โดยการนำเสนอบริการและโปรโมชันที่น่าสนใจ เช่น แพ็กเกจผ่าตัดพิเศษสำหรับบริษัทประกันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ แพ็กเกจตรวจสุขภาพและตรวจคัดกรองโรคต่าง ๆ คลินิกในชุมชน และการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ นอกจากนี้ยังมีแผนการจัดหาแพทย์ตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากโรงเรียนแพทย์หลาย ๆ แห่งตามความต้องการของคนไข้โรงพยาบาลวิมุตยังเพิ่มการให้บริการแผนกคนไข้ต่างชาติ โดยร่วมมือกับสถานทูตและตัวแทนคนไข้ต่างชาติ (Agent) ผ่านการเปิดสำนักงานตัวแทน และมุ่งขยายการประชาสัมพันธ์ในระดับภูมิภาค โดยมีการเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มประเทศอาหรับ ออสเตรเลีย และจีน

ปริมาณการให้บริการ ณ วันที่ 31 ธันวาคม

คนไข้ใน ปี 2567 ปี 2566
จำนวนเตียงจดทะเบียน (เตียง) 235 235
จำนวนเตียงที่พร้อมให้บริการ (เตียง) 178 100
อัตราการครองเตียงของเตียงที่พร้อมให้บริการ (ร้อยละ) 42.0* 50.3
คนไข้นอก ปี 2567 ปี 2566
จำนวนผู้ป่วยนอกเฉลี่ยต่อวัน (คน) 485 410

* อัตราการครองเตียงที่พร้อมให้บริการในปี 2567 คำนวณจากจำนวนเตียงพร้อมให้บริการ 100 เตียงในครึ่งปีแรก และเพิ่มจำนวนเตียงเป็น 178 เตียงในครึ่งปีหลัง

โรงพยาบาลเทพธารินทร์

โรงพยาบาลเทพธารินทร์ เปิดให้ดำเนินการในปี 2528 เป็นคลินิกเฉพาะทางเบาหวานและไทรอยด์แห่งแรกในไทย ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 ดำเนินการโดย บจ. เทพธัญญภา ต่อมาขยายตัวเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาด 80 เตียง ในปี 2564 วิมุตได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 51.57 ใน บจ. เทพธัญญภา และในปี 2567 โรงพยาบาลปรับชื่อเป็น วิมุต-เทพธารินทร์

โรงพยาบาลเทพธารินทร์มีความเป็นเลิศด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยแบบครบวงจร โดยเฉพาะการรักษาโรคเบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ รวมถึงมุ่งพัฒนาการบริการงานดูแลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตั้งแต่การป้องกันจนถึงการรักษาโรคแทรกซ้อน ในโรงพยาบาลและในการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งสอดคล้องกับทั้งเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์และแนวทางการดำเนินธุรกิจของโรงพยาบาลวิมุต โดยโรงพยาบาลได้รับการรับรองมาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ Hospital Accreditation (HA) ขั้น 3 นอกจากนั้นด้วยประสบการณ์ยาวนานเกือบ 40 ปี และแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูงทั้งในและต่างประเทศ ทำให้โรงพยาบาลเทพธารินทร์ได้รับการรับรองคุณภาพเฉพาะโรคเบาหวานและโรคไทรอยด์จากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) อีกด้วย นอกจากศูนย์เบาหวาน ไทรอยด์และต่อมไร้ท่อ ที่เข้มแข็งแล้ว โรงพยาบาลยังดำเนินการศูนย์หัวใจและหลอดเลือดคลินิกเท้าและการดูแลแผล ศูนย์ทันตกรรมที่โดดเด่นครบวงจร

ในส่วนของโรงเรียนเบาหวานเทพธารินทร์ (Theptarin DM Academy) ยังคงเปิดสอนหลักสูตรเพื่อให้ความรู้แก่ผู้เป็นเบาหวาน ผู้ดูแลผู้เป็นเบาหวาน บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั่วไปที่สนใจเป็นประจำทุกเดือน นอกจากนี้ยังเปิดรับการดูงานด้านเบาหวานไทรอยด์ ต่อมไร้ท่อ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โภชนาการและการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม จากทั้งโรงพยาบาลและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงมุ่งเน้นด้านวิชาการและการผลิตบุคลากรด้านโภชนาการและการกำหนดอาหารอย่างต่อเนื่องโรงพยาบาลได้คัดสรรเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการแพทย์เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม และเมื่อร่วมกับความรู้ความเข้าใจโรคจะเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลตนเองของผู้ป่วย เช่น การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างต่อเนื่อง (Continuous Glucose Monitoring: CGM) และเครื่องปั๊มอินซูลิน

ภายหลังการผนึกกำลังร่วมกับกลุ่มวิมุตเป็นปีที่ 4 โรงพยาบาลได้รีแบรนด์เป็นโรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ โดยคงความเป็นเลิศด้านเบาหวานและต่อมไร้ท่อ เสริมความพร้อมด้วยการเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากกลุ่มวิมุตเพื่อใช้ในการรักษาโรคซับซ้อน ขยายการบริการให้ครอบคลุมหลากหลายด้าน รวมถึงการผ่าตัดหัวใจและทำบอลลูน เบาหวาน ไทรอยด์ เคสอุบัติเหตุ การจัดแพ็กเกจการตรวจสุขภาพและการฉีดวัคซีน มุ่งสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ โรงพยาบาลวิมุต-เทพธารินทร์ อยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารใหม่เป็นอาคารไม่เกิน 10 ชั้น รองรับคนไข้จำนวน 53 เตียง คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2570 เพื่อรองรับการเติบโตในลำดับถัดไป

ปริมาณการให้บริการ ณ วันที่ 31 ธันวาคม

คนไข้ใน ปี 2567 ปี 2566
จำนวนเตียงจดทะเบียน (เตียง) 80 80
จำนวนเตียงที่พร้อมให้บริการ (เตียง) 67 67
อัตราการครองเตียงของเตียงที่พร้อมให้บริการ (ร้อยละ) 55.2 52.2
คนไข้นอก ปี 2567 ปี 2566
จำนวนผู้ป่วยนอกเฉลี่ยต่อวัน (คน) 322 321

โรงพยาบาลเฉพาะทาง

กลุ่มโรงพยาบาลวิมุตเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อสร้าง Trusted Healthcare Platform ด้วยการขยายระบบนิเวศด้านการแพทย์เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีแก่คนไทยและมุ่งเน้นการให้บริการทางการแพทย์แบบครบวงจร โดยในปี 2567 กลุ่มโรงพยาบาลวิมุตร่วมมือกับพันธมิตรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงด้านการตรวจรักษาโรคกระดูกและข้อ จัดตั้งโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกแบบองค์รวม ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพบนถนนทองหล่อ ภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกวิมุต ทองหล่อ (ViMUT Orthopedic Hospital Thonglor) เพื่อให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ที่หลากหลายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยระยะเริ่มต้นมีจำนวนเตียงจดทะเบียน 18 เตียง พร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครัน ทั้งเครื่องมือทางรังสีวินิจฉัย MRI และ CT Scan การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ ศูนย์กายภาพบำบัดและเวชศาสตร์การกีฬาในระดับตติยภูมิการแพทย์ โดยโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านกระดูกจะพร้อมให้บริการตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป

ส่วนต่อขยายจากโรงพยาบาล

เพื่อยกระดับประสบการณ์การรับบริการพร้อมขยายฐานลูกค้า ตอบรับเทรนด์สุขภาพของผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มให้ความสนใจการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และสร้างมาตรฐานใหม่ของบริการด้านการแพทย์เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็น Long-Term Care Destination ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วิมุตร่วมมือกับกลุ่ม บจ. เค.พี.เอ็น. ซีเนียร์ ฮอสปิตัล (“เค.พี.เอ็น. ซีเนียร์”) ซึ่งพฤกษา โฮลดิ้ง เข้าถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 25 ของจํานวนหุ้นทั้งหมดและสามารถเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นสูงสุดที่ร้อยละ 35 ได้ในอนาคต เปิดดำเนินการโรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู Chersery Home International Hospital เพื่อเป็นศูนย์ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ 1) โซนบางนา-วงแหวน ขนาด 50 เตียง ตั้งอยู่บริเวณหน้า Pruksa Avenue บางนา-วงแหวนที่ มีโครงการที่อยู่อาศัยของพฤกษาประมาณ 1,700 ครัวเรือน 2) โซนวัชรพล ขนาด 49 เตียง พร้อมด้วยบริการไตเทียมครบวงจร 12 หน่วย ตั้งอยู่บริเวณหน้าโครงการที่อยู่อาศัยของพฤกษาประมาณ 300 ครัวเรือน และ 3) โซนแบริ่งที่มีแผนจะเปิดกลางปี 2568 ขนาด 54 เตียง พร้อมด้วยศูนย์ไตเทียม 20 หน่วย

นอกจากนี้ เค.พี.เอ็น. ซีเนียร์ ยังให้บริการโรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู Chersery Home ศูนย์ส่งเสริมและฟื้นฟูผู้สูงอายุ The Senizens และศูนย์ในเครืออีกรวม 8 แห่ง จำนวน 184 เตียง พร้อมตั้งเป้าขยายการให้บริการรวมทั้งกลุ่มเป็น 600 เตียงในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยเค.พี.เอ็น. ซีเนียร์ ผ่านการรับรองมาตรฐานทั้ง Hospital Accreditation (HA), Joint Commission International (JCI) และ American Accreditation Commission International (AACI) ปัจจุบัน เค.พี.เอ็น. ซีเนียร์ เป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักในตลาดการให้บริการดูแลผู้สูงอายุ และมุ่งหวังสู่การเป็นโซลูชัน ด้านสุขภาพให้แก่คนทุกวัย รวมถึงการนำเสนอแพ็กเกจบริการที่หลากหลาย ทั้งรถตู้ออกแบบพิเศษและปรับเป็นวีลแชร์ได้เพื่อรับส่งผู้สูงอายุ บริการ Homecare ดูแลผู้สูงอายุ และบริการกายภาพบำบัดที่บ้าน รวมถึงบริการฟื้นฟูหลังการผ่าตัดกลุ่มโรคทางสมองระยะประคับประคอง ซึ่งทางเค.พี.เอ็น. ซีเนียร์ เป็นผู้บุกเบิกเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้รับบริการสามารถเบิกประกันสุขภาพได้ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ

ส่วนขยายจากโรงพยาบาลวิมุตยังรวมถึง คลินิกบ้านหมอวิมุต ที่เน้นต่อยอดให้บริการทางการแพทย์เข้าถึงชุมชนได้มากยิ่งขึ้น คลินิกเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2561 ในโซนรังสิต จังหวัดปทุมธานี โดยให้บริการรักษาโรคทั่วไปและโรคเรื้อรัง การตรวจเลือดการตรวจสุขภาพ การฉีดวัคซีน และการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจากแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว ในปี 2567 คลินิกบ้านหมอวิมุตเน้นการทำคลินิกชุมชนร่วมกับหมู่บ้านพฤกษาและชุมชนใกล้เคียง พร้อมให้บริการแพทย์แผนจีนแบบครบวงจรในพื้นที่คลินิกบ้านหมอวิมุต ซึ่งถือเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีแผนขยายไปยังการให้บริการแพทย์แผนไทยประยุกต์เพื่อรองรับการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรในอนาคต รวมถึงการให้บริการการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) ในการดูแลผู้ป่วยที่ต้องการการรักษาเฉพาะทาง

การสร้างความร่วมมือระหว่างกันภายในกลุ่มพฤกษา โฮลดิ้ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้านในโครงการของพฤกษา ผ่านแนวคิด “Live well Stay well” สร้างความแตกต่างด้วยโมเดลบ้านเวลเนสเต็มรูปแบบ เชื่อมโยงเรื่องสุขภาพให้เข้ากับการใช้ชีวิตในบ้านผ่านการออกแบบที่อยู่อาศัยและพื้นที่ส่วนกลาง สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่าง ๆ โดยกลุ่มวิมุตมีส่วนให้คำปรึกษาร่วมกับการใช้ Universal Design Concept ทำให้ทุกพื้นที่ในบ้านมีความปลอดภัยกับคนทุกวัย และจัดให้มีกิจกรรมในรูปแบบเวลเนสแบบครบวงจร ทั้งบริการแพทย์และกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ ณ โครงการ บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน ViMUT Application บริการผู้ช่วยส่วนตัวเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการ

การลงทุนใหม่ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภายในและภายนอกกลุ่ม

วิมุตลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเฮลท์แคร์เพื่อต่อยอดพันธกิจด้านนวัตกรรมทั้งภายในและภายนอกกลุ่ม ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นอกจากความร่วมมือกับโรงพยาบาลรามาธิบดีในการให้คนไข้เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลวิมุตได้ วิมุตยังร่วมทุนกับบริษัท นำวิวัฒน์ เมดิคอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้ผลิต นำเข้าและจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ บริการทำความสะอาดและฆ่าเชื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยได้ตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อให้บริการทำความสะอาดเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์โดยเริ่มจากในกลุ่มวิมุตเป็นอันดับแรก และขยายการบริการสู่โรงพยาบาลรัฐบาลและเอกชน รวมถึงบริษัทเครื่องมือแพทย์ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ วิมุตยังพัฒนาความร่วมมือกับบริษัทในกลุ่มพฤกษา เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับคนไข้หรือลูกค้าในการเข้าถึงบริการสุขภาพผ่านแพลตฟอร์มทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ภายใต้ชื่อ Livewell โดยสามารถติดต่อหรือนัดหมายแพทย์ สั่งซื้อยาหรือสินค้าด้านสุขภาพได้อย่างรวดเร็วผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงการเปิดให้บริการในรูปแบบ dark store ด้านหลังโรงพยาบาลวิมุต มีเภสัชกรให้คำแนะนำและรองรับการบริการในรูปแบบ Telepharmacy นำเสนอสินค้าและบริการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทั่วไป

สำหรับพันธมิตรภายนอกประเทศ วิมุตลงทุนใน Pathology Asia Holdings ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการด้านการวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจัดตั้งกิจการร่วมค้าโดยเข้าซื้อ แลปพลัสวัน ต่อยอดระบบการบริหารห้องปฏิบัติการวิจัยที่ทันสมัยและมุ่งขยายกิจการในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเข้าลงทุนและร่วมทุนกับ Amili ผู้ให้บริการ HealthTech ชั้นนำจากสิงคโปร์ที่พัฒนาเทคโนโลยีด้านจุลชีพในลำไส้และห้องปฏิบัติการวิจัยเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนารักษาโรค โดยหลังการร่วมทุนได้เปิดตัวโปรแกรมตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้เฉพาะบุคคล และพัฒนาอาหารเสริมโพรไบโอติกส์เพื่อเสริมการรักษาโรคทางเดินอาหาร ลำไส้แปรปรวน และโรคอ้วน รวมถึงเป็นหนึ่งในช่องทางเสริมรายได้ศูนย์ทางเดินอาหารและตับของโรงพยาบาลวิมุตด้วยอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ การร่วมทุนกับ Naluri เพื่อให้บริการสุขภาพผ่านระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพกายและใจตลอด 24 ชั่วโมง สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงปัญหาด้านสุขภาพและช่วยติดตามตั้งแต่เริ่มมีอาการจนถึงระยะฟื้นฟูได้ โดยภายหลังการจัดตั้งกิจการร่วมค้า ได้มุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าธุรกิจ (B2B) และบุคคลทั่วไป (B2B2C) ในไทยเพิ่มขึ้น

วิมุตไม่เพียงมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อขยายระบบนิเวศของตัวเองเท่านั้น แต่ยังมองหาความร่วมมือกับพันธมิตรในด้านต่าง ๆ เช่น สตาร์ตอัปเพื่อช่วยเหลือพวกเขาเข้าสู่ตลาด ผ่านแคมเปญ ‘Accelerate Impact with Pruksa’ ซึ่งเปิดโอกาสให้สตาร์ตอัปได้แสดงศักยภาพของตน เช่น Agnos, LabMove, Pharmcare และ findTEMP ภายใต้โครงการนี้ วิมุตเข้าถึงชีวิตของผู้คน 110 คนในเขตพญาไท ผ่านบริการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่เพื่อการเข้าถึงสุขภาพที่ดีขึ้นและการตรวจเลือดเพื่อป้องกันโรค

บริษัทฯ ก่อตั้ง บจ. ซินเนอร์จี โกรท (“SGC”) ในเดือนมิถุนายน 2565 เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุนในกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี (Digital Solutions) มีเป้าหมายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added Service) โดยการพัฒนาเทคโนโลยีให้กับกลุ่มในเครือบริษัทฯ เพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platform) ซึ่งจะนำไปสู่การเชื่อมโยงพฤติกรรมความต้องการที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างสูงสุด โดยมีข้อได้เปรียบในการเข้าถึงฐานลูกค้ากว่าแสนรายจากกลุ่มลูกบ้านของพฤกษา รวมถึงกลุ่มคนไข้ของโรงพยาบาลวิมุต

ในปีแรกของการดำเนินธุรกิจ SGC เปิดตัว 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม ได้แก่ Clickzy สำหรับลูกค้าบุคคล และ ClickBiz สำหรับลูกค้าธุรกิจ และธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และบำรุงรักษาที่อยู่อาศัยแอปพลิเคชันมายเฮาส์ (MyHaus) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน สามารถใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสารกับนิติบุคคล รวมทั้งใช้แอปพลิเคชันในการควบคุมระบบต่าง ๆ ของบ้านพักอาศัย

ในปี 2567 ได้มีการแยกหน่วยงาน ZDecor ซึ่งต่อมาได้จัดตั้งเป็น บจ. วิซลาห์ ทีเอช ต่อยอดจากธุรกิจจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์สู่แพลตฟอร์มออนไลน์ด้านการออกแบบโดยใช้ภาพจำลองสามมิติ หรือเทคโนโลยีที่นำข้อมูลเสมือนมาผสมผสานกับโลกความเป็นจริง (Augmented Reality) นอกจากนี้ SGC ได้พัฒนาต่อยอดแอปพลิเคชัน MyHaus จากการบริหารจัดการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และบำรุงรักษาที่อยู่อาศัยสู่การบริการจัดการนิติบุคคล (Facility Management) เป็นแพลตฟอร์มการจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Property Management) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลลูกบ้านและขยายกลุ่มลูกค้าไปยังภาคอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้ง บจ. ลีฟเวลล์ ฟาร์มาซี โซลูชั่น เพื่อดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพด้านการเภสัชกรรมทางไกล (Telephamacy) และจัดหาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

ธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือแพลตฟอร์มดิจิทัล ประกอบด้วยธุรกิจย่อยจำนวน 4 ธุรกิจ ดังนี้ ธุรกิจบริหารห่วงโซ่อุปทาน ธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และบำรุงรักษาที่อยู่อาศัย ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งและแพลตฟอร์มด้านการออกแบบ และกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ รวมถึงธุรกิจอื่นที่อยู่ภายใต้การดูแลของ SGC ได้แก่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการตลาดออนไลน์

ลักษณะผลิตภัณฑ์หรือบริการ

ธุรกิจบริหารห่วงโซ่อุปทาน

SGC เปิดตัวแพลตฟอร์ม Clickzy เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยให้กับผู้ใช้บริการประเภทธุรกิจองค์กรธุรกิจและรูปแบบบุคคลธรรมดาที่ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างบ้านไปจนถึงสินค้าไลฟ์สไตล์เพื่อการอยู่อาศัย ปัจจุบัน Clickzy ได้สร้างแพลตฟอร์ม ClickBiz (https://clickbiz.clickzy.com) โดยพัฒนารูปแบบธุรกิจจากการเป็นแพลตฟอร์ม B2C E-Commerce ไปสู่แพลตฟอร์ม B2B SaaS (Software-as-a-Service) ที่มีความสามารถและประสิทธิภาพสูง โดยมุ่งเน้นการให้บริการโซลูชันสำหรับภาคธุรกิจก่อสร้างและผู้รับเหมา ผ่านระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (B2B Supply Chain Management Solutions) และระบบการจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Procurement) ที่ตอบโจทย์ด้านการบริหารจัดการกระบวนการทำงาน การจัดการสภาพคล่อง การประมูลโครงการ และการให้บริการทางการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน การดำเนินงานของลูกค้าธุรกิจ แก้ปัญหาด้านการจัดการเอกสารและระบบที่ซับซ้อนให้มีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนการใช้ระบบ E-Procurement บนธุรกิจ B2B Supply Chain Management Solutions

ธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และบำรุงรักษาที่อยู่อาศัย

แอปพลิเคชัน MyHaus ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2566 เพื่อให้บริการแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการอยู่อาศัยสำหรับลูกบ้านพฤกษา เพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีที่สุด ซึ่งถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ โดยใช้เทคโนโลยี IoT เชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในที่อยู่อาศัยเข้ากับแอปพลิเคชันให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมระบบต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนาแอปพลิเคชันบริหารจัดการที่อยู่อาศัยพร้อมกับอุปกรณ์ IoT อัจฉริยะเพื่อบริการลูกบ้าน ในปี 2567 MyHaus ได้ต่อยอดด้วยการพัฒนาแอปพลิเคชันบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Property Management Platform) บนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยลูกบ้านสามารถจัดการเรื่องนิติบุคคลได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็วผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ SGC ยังเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ในด้านพลังงานยั่งยืน (Sustainable Energy) หรือพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) จึงได้ก่อตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy) ภายใต้ MyHaus เพื่อสร้างพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดสามารถนำมาเป็นพลังงานทางเลือกร่วมกับการใช้ไฟฟ้าให้กับกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ โดยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในการแปลงแสงอาทิตย์ให้เป็นกระแสไฟฟ้า สามารถใช้ลดค่าใช้จ่ายของผู้อยู่อาศัย และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เช่นกัน

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งและแพลตฟอร์มด้านการออกแบบ

ในปี 2565 กลุ่ม ZDecor เริ่มต้นจากโครงการ Innovation Project จากการสนับสนุนของ พฤกษา เรียลเอสเตท ที่มุ่งเน้นการพัฒนาแนวทางบริการตกแต่งและออกแบบให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า โดยต่อมาในเดือนกันยายน 2566 ได้ถูกจัดตั้งเป็น บจ. แซดเดคอร์ บริษัทย่อยภายใต้ SGC และในปี 2567 ได้เปลี่ยนเป็น บจ. วิซลาห์ ทีเอ็ช (WZ) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SGC และ วิซลาห์ เวนเจอร์ ประเทศสิงคโปร์ ผู้นำเทคโนโลยีแพลตฟอร์มออนไลน์ด้านการออกแบบภายในด้วย 3D และ AR มาร่วมกันพัฒนา วิซลาห์ ซูเปอร์ แอป เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของบ้านตามแบบที่ต้องการและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการออกแบบได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ ยังได้รับสิทธิ์ในการเป็นตัวแทนเพียงรายเดียวในประเทศไทยในการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์จาก ซันเรย์ กรุ๊ป สิงคโปร์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับการยอมรับในความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบในประเทศสิงคโปร์

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ

SGC ได้จัดตั้ง Livewell ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพโดยการทำงานร่วมกับกลุ่มโรงพยาบาลวิมุต เพื่อทำให้ผู้คนมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดีเข้าถึงการบริการได้อย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลารอคอยการบริการในกรณีฉุกเฉิน โดยการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เช่น การเปิดตัวแพลตฟอร์มออนไลน์ livewell.co.th นำเสนอสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม โดยมีสินค้าจากโรงพยาบาลวิมุต ได้แก่ สินค้าเพื่อสุขภาพ BeMe และ V Plus รวมทั้งได้ร่วมมือกับคู่ค้าที่ได้มาตรฐานรับรองโปรแกรมประยุกต์สำหรับการให้บริการเภสัชกรรมทางไกลผ่านจากสภาเภสัชกรรม ทำให้มั่นใจได้ว่าบริการของ Livewell มีความปลอดภัยและได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านของพฤกษาสามารถเข้าถึงบริการส่งยาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ Livewell ยังเปิดตัวร้านขายยา Livewell by ViMUT นำเสนอสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพให้กับลูกค้าทั่วไป ณ บริเวณโรงพยาบาลวิมุตอีกด้วย

ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตลาดออนไลน์

เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2565 ดำเนินธุรกิจเป็นแพลตฟอร์มกลางในการนำเสนอสินค้าและบริการ ผ่านบุคคลที่น่าเชื่อถือหรือมีผู้ติดตาม (Key Opinion Leader) โดยทำการตลาดแบบ Social Commerce เพื่อให้ทุกคนมีเครื่องมือในการทำธุรกิจด้วยตนเองได้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายน้อย เนื่องจากในปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่เชื่อถือคำแนะนำของคนรู้จักหรือคนที่ตัวเองเชื่อถือมากกว่าคำโฆษณาในสมัยก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้าเกิดจากความไว้วางใจเลือกใช้สินค้าหรือบริการที่เข้าถึงด้วยการบอกต่อ ซึ่งแพลตฟอร์มของปันได้ช่วยให้ผู้ขายสินค้าสามารถขายของออนไลน์ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีระบบสนับสนุนการทำงาน เช่น ระบบชำระเงิน และระบบการจัดการสินค้าคงคลัง ต่อมาในปี 2567 ปันได้ยกระดับรูปแบบการดำเนินธุรกิจสู่บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์