ลักษณะการประกอบธุรกิจ
บริษัทฯ มีรายได้หลักมาจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และได้เริ่มดำเนินธุรกิจการให้บริการด้านสุขภาพ และการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับสองธุรกิจหลัก เพื่อสร้างรายได้ประจำ และผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ ดังนี้
1. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ดำเนินการโดย บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) (“พฤกษาฯ”) ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว/บ้านแฝด และคอนโด โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในทำเลที่มีศักยภาพและการเจริญเติบโตสูง และในปี 2553 พฤกษาฯ ได้เริ่มเปิดขายโครงการในต่างจังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชลบุรี ภูเก็ต ขอนแก่น เชียงใหม่ และระยอง นอกจากนี้ พฤกษาฯ ได้ขยายอสังหาริมทรัพย์แนวราบและคอนโดในกลุ่มตลาดระดับราคาสูง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดที่อยู่อาศัยในระดับบน พร้อมปรับปรุงภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เกิดความชัดเจนในการบริหารของแต่ละกลุ่มธุรกิจมากยิ่งขึ้นเพื่อให้ธุรกิจมีความยั่งยืนและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน พฤกษาฯ แบ่งธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์ กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว และกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโด
กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์
กลุ่มผลิตภัณฑ์ทาวน์เฮ้าส์ มีโครงการที่เปิดขายแล้วภายใต้ชื่อ (แบรนด์) ดังนี้
บ้านทาวน์เฮ้าส์ | |
โดยกลุ่มผลิตทาวน์เฮ้าส์ พฤกษาฯ เป็นผู้นำในกลุ่มระดับราคา 1-5 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ บ้านพฤกษา พฤกษาวิลล์ และเดอะคอนเนค รวมถึงกลุ่มลูกค้าในระดับราคามากกว่า 5 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ พาทิโอ โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมิใช่เพื่อการเก็งกำไร ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ
กลุ่มผลิตทาวน์เฮ้าส์ ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการบ้านทาวน์เฮ้าส์ ภายใต้แบรนด์ต่างๆ ผ่านรูปแบบบ้านที่แตกต่างกันออกไป เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด จึงมุ่งเน้นการพัฒนาด้านฟังก์ชันการใช้งาน และเป็นผู้นำด้าน Living Solution ในกลุ่มผลิตทาวน์เฮ้าส์
กลุ่มผลิตทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนในตลาดทาวน์เฮาส์ คิดเป็นประมาณร้อยละ 12 ของส่วนแบ่งตลาดที่อยู่อาศัยทาวน์เฮาส์ และมีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 30 ของรายได้อสังหาริมทรัพย์
กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว
กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว มีโครงการที่เปิดขายแล้วภายใต้ชื่อ (แบรนด์) ดังนี้
บ้านเดี่ยว | |
กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยวคือ ลูกค้าในกลุ่มระดับราคา 3-15 ล้านบาท โดยพฤกษาฯ เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยวในกลุ่มระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีการแบ่งผลิตภัณฑ์ตามระดับราคาภายใต้แบรนด์ดังต่อไปนี้ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ เดอะแพลนท์ ระดับราคา 5-10 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ ภัสสร ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ เดอะปาล์ม
กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยว มีนโยบายที่มุ่งเน้นเรื่องความเป็นเลิศด้านผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้บ้านที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยการเพิ่มนวัตกรรมต่าง ๆ มีคุณภาพในราคาที่ลูกค้าเข้าถึงได้ และมีระยะเวลาในส่งมอบสินค้าที่รวดเร็ว
กลุ่มผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยวมีสัดส่วนในตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด คิดเป็นประมาณร้อยละ 4 ของส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด และมีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 18 ของรายได้อสังหาริมทรัพย์
กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโด
กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโด มีโครงการที่เปิดขายแล้วภายใต้ชื่อ (แบรนด์) ดังนี้
คอนโด | |
กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโด มีการแบ่งผลิตภัณฑ์ตามระดับราคาภายใต้แบรนด์ดังต่อไปนี้ ระดับราคา 1-2 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ พลัมคอนโด ระดับราคา 2-5 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ แชปเตอร์วัน เดอะทรี และเดอะไพรเวซี่ สำหรับระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ภายใต้แบรนด์ แชปเตอร์ และเดอะรีเซิร์ฟ
กลุ่มผลิตภัณฑ์คอนโด ได้ดำเนินการก่อสร้างพัฒนาโครงการคอนโด โดยใช้ความต้องการของลูกค้ามาพัฒนาโครงการเพื่อสร้างความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์ (Product Differentiation) ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ด้วยการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบและยั่งยืน
พฤกษาฯ มีนโยบายมุ่งเน้นการสรรหาที่ดินที่มีศักยภาพ มีการบริหารสัดส่วนของคอนโดแนวราบ (Low Rise) และคอนโดแนวสูง (High Rise) เพื่อการบริหารรายได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว มีสัดส่วนในตลาดคอนโดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล คิดเป็นประมาณร้อยละ 1 ของส่วนแบ่งตลาดคอนโด และมีสัดส่วนรายได้ประมาณร้อยละ 52 ของรายได้อสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากในปี 2565 ที่ผ่านมา พฤกษาฯ มีโครงการคอนโดใหม่ที่รอรับรู้รายได้ทั้งสิ้น 7 โครงการ
นอกจากนี้ พฤกษาฯ ได้นำเทคโนโลยี Fully Precast เข้ามาใช้ในส่วนของการผลิตและการก่อสร้างบ้านแนวราบ ซึ่งเป็นวิธีการก่อสร้างระบบโครงสร้างผนังรับน้ำหนักแบบคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูป ชิ้นงานผลิตจากโรงงานที่ทันสมัย ช่วยให้กระบวนการก่อสร้างมีความแม่นยำ รวดเร็ว และลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากการทำงานในช่วงของการก่อสร้างอันเนื่องมาจากฝีมือแรงงาน ตลอดจนช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยในปี 2565 บริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างกิจการและจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ บริษัท อินโน พรีคาสท์ จำกัด (“อินโน พรีคาสท์”) เพื่อแยกหน่วยธุรกิจพรีคาสท์ออกมา โดยเป็นโรงงานพรีคาสท์สีเขียว (Green Factory) แห่งแรกของไทยที่ใช้แนวคิด “ขยะเหลือศูนย์” (Zero Waste) และนำเข้าเทคโนโลยีสีเขียว “คาร์บอนเคียว” (Carbon Cure) เข้ามาใช้เป็นรายแรกในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ เพื่อให้บรรลุตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน สร้างความชำนาญเฉพาะทาง ขยายฐานลูกค้าใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจและความคล่องตัวในการบริหารงานของกลุ่มบริษัทฯ ให้เจริญเติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง ในต้นปี 2566 บริษัทฯ ได้ประกาศความร่วมมือกับบริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) ในการแลกหุ้นสามัญระหว่างกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทั้ง 2 บริษัท และส่งผลให้บริษัทฯ สามารถดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอีกด้วย
2. ธุรกิจการให้บริการด้านสุขภาพ
โรงพยาบาลวิมุต
โรงพยาบาลแห่งแรกของกลุ่มโรงพยาบาลวิมุต เริ่มเปิดให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2564 เป็นโรงพยาบาลทั่วไปแบบพักค้างคืนขั้นตติยภูมิ (Tertiary Care) ขนาด 236 เตียง โดยเปิดให้บริการเริ่มต้น 100 เตียง มีบริการรักษาพยาบาลทั้งโรคทั่วไปและโรคที่มีความซับซ้อน บนพื้นที่ขนาดประมาณ 4 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธินใกล้สี่แยกสะพานควาย เงินลงทุน 4,900 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าที่ดิน 950 ล้านบาท และค่าก่อสร้าง ค่าอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ และอื่น ๆ อีก 3,950 ล้าน โดยโรงพยาบาลได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน HA ขั้น 2 ในปี 2565 ที่ผ่านมา
ในปี 2565 โรงพยาบาลวิมุต มีรายได้จากการให้บริการรักษาพยาบาลแก่คนไข้ทั่วไป และบริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Covid-19 ทำให้รายได้ของโรงพยาบาลเติบโตขึ้นจากปีก่อน ผ่านการให้บริการผู้ป่วยนอกมากกว่า 120,000 ราย การให้บริการผู้ป่วยในเฉลี่ยมากกว่า 100 รายต่อวัน ทั้งกลุ่มคนไข้ Covid และ Non-covid รวมถึงการร่วมมือกับทั้งภาครัฐและเอกชน ในการให้บริการกักกัน ดูแล รักษาผู้ป่วย Covid-19 และการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19 จำนวนกว่า 100,000 เข็ม รวมถึงมีเปิดให้บริการแผนกคนไข้ต่างชาติ เพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น ทำให้จำนวนคนไข้ชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่าร้อยละ 30
โรงพยาบาลเทพธารินทร์
นอกจากนี้ ในปี 2564 วิมุตฯ ได้เข้าลงทุนสัดส่วนร้อยละ 51 ใน บริษัท เทพธัญญภา จำกัด ซึ่งดำเนินกิจการโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดกลาง 80 เตียง มีความเป็นเลิศด้านการดูแลรักษาผู้ป่วยแบบครบวงจร โดยเฉพาะการรักษาโรคเบาหวาน ซึ่งเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลเทพธารินทร์ มีความสอดคล้องกับแนวทางดำเนินธุรกิจของโรงพยาบาลวิมุต ที่ต้องการดูแลผู้ป่วยทั้งในโรงพยาบาล ไปจนถึงการใช้ชีวิตในชุมชนของตนเอง
ธุรกิจส่วนขยายของโรงพยาบาล
ด้วยแนวทางการขยายแผนธุรกิจสร้าง Trusted healthcare platform โรงพยาบาลวิมุตมีแผนการขยายระบบนิเวศการดำเนินงานทางด้านการแพทย์เพื่อเสริมสร้างสุขภาพของคนไทย ด้วยการมีเครือข่ายทั้งโรงพยาบาล คลินิก ศูนย์กายภาพบำบัด ศูนย์ดูแลและบริบาลผู้สูงวัย รวมถึงการบริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน (Health to home) เพื่อสร้างชุมชนให้น่าอยู่และตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมปัจจุบันได้อย่างครอบคลุม จึงได้ขยายฐานการให้บริการออกไปในแนวกว้างเพื่อให้เป็นมากกว่าการรักษาโรคในโรงพยาบาล โดยบริษัทฯ มีการจัดตั้ง บริษัท วิมุต เวลเนส เซอร์วิส จำกัด เพื่อรองรับการขยายตัวของสังคมผู้สูงอายุ โดยในเดือนสิงหาคม 2565 ได้เปิดให้บริการ โรงพยาบาล วิมุต บางนา-วงแหวน ศูนย์ฟื้นฟูและดูแลสุขภาพสำหรับครอบครัวและผู้สูงอายุแห่งแรก ซึ่งเป็นโรงพยาบาลกายภาพบำบัดขนาดกลาง 50 เตียง
เพื่อการขยายธุรกิจให้เติบโตทันต่อความต้องการของตลาด วิมุตฯ ได้จับมือกับ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จํากัด (JAS Asset) ร่วมก่อตั้งบริษัท ซีเนร่า วิมุต เฮลท์ เซอร์วิส จำกัด โดยถือหุ้นร้อยละ 51 เพื่อดำเนินการศูนย์สุขภาพผู้สูงอายุทั้งแบบค้างคืนและไม่พักค้างคืน ขนาด 78 เตียง ตั้งอยู่ที่ JAS Green Village ถนนคู้บอน ด้วยงบลงทุน 40 ล้านบาท โดยจะเปิดให้บริการในไตรมาส 1 ปี 2566
ด้านการลงทุนในธุรกิจใหม่เพื่อต่อยอดพันธกิจด้านนวัตกรรม บริษัทฯ ได้ร่วมลงทุนกับ Pathology Asia Holdings ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการด้านการวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีแผนการนำองค์ความรู้ด้านการวินิจฉัยทางการแพทย์ Genomics และระบบการบริหารแล็ปที่ทันสมัย มุ่งขยายกิจการในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการนำนวัตกรรมด้านการแพทย์ระดับโลกมาสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านสุขภาพของกลุ่มธุรกิจการให้บริการด้านสุขภาพ
ในขณะเดียวกันคลินิก “บ้านหมอวิมุต” ได้ให้บริการรักษาโรคทั่วไป ทำแผล ตรวจเลือด ตรวจสุขภาพทั่วไป ฉีดวัคซีน รวมถึงให้คำปรึกษาด้านสุขภาพโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ครอบครัว เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต่อยอดจากโรงพยาบาลวิมุต เพื่อให้การบริการทางการแพทย์เข้าถึงชุมชน ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกัน รักษา และฟื้นฟู คลินิกนี้นำร่องให้บริการที่แรกในย่านรังสิต คลอง 3 จังหวัดปทุมธานี
ธุรกิจการให้บริการด้านสุขภาพยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้พัฒนาต่อยอดทางเทคโนโลยี จัดทำ ViMUT Application เพื่อเพิ่มช่องทางในการให้บริการคนไข้ ให้เข้าถึงการรักษาได้ตลอดเวลา โดยเปิดให้บริการ Telemedicine ซึ่งคนไข้สามารถเข้าถึงการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้โดยไม่ต้องมาที่โรงพยาบาล รวมถึงบริการจัดส่งยาถึงบ้าน และการชำระเงินออนไลน์ได้ทันที นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลวิมุตได้เปิดตัว ViMUT Life Link โซลูชันอัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้สูงวัยสามารถแจ้งเหตุฉุกเฉินและได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ตอบโจทย์ครอบครัวสมัยใหม่ที่ทุกคนต้องออกไปทำงานนอกบ้าน เสมือนมีแพทย์และพยาบาลคอยดูแลผู้สูงวัยตลอด 24 ชั่วโมง
3. ธุรกิจใหม่และการลงทุนเชิงกลยุทธ์
บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อส่งเสริมและเพิ่มความสามารถในการสร้างผลกำไร สร้างรายได้ประจำ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจหลัก นอกจากนั้นยังคงแสวงหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มธุรกิจใหม่และเทคโนโลยีเกิดใหม่ เพื่อเป็นช่องทางการขยายการเติบโตของธุรกิจตามกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัทฯ ทั้งในและต่างประเทศ โดยมีรูปแบบการลงทุนที่หลากหลายดังนี้
ประเภทการลงทุน | PropTech | HealthTech | SustainabiityTech | อื่น ๆ |
ธุรกิจร่วมทุน (Corporate Venture Capital) |
✔ | ✔ | ✔ | ✔ |
การลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Investment) |
✔ | ✔ | ||
ธุรกิจใหม่ (New Seed Business) |
✔ |
ธุรกิจกลุ่ม PropTech
ในปัจจุบันตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยนั้น ผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยมีการนำ Property Technology (PropTech) มาช่วยส่งเสริมและผลักดันการประกอบธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการทำธุรกรรมด้านที่อยู่อาศัยในรูปแบบออนไลน์มากขึ้น เพื่อยกระดับการเพิ่มคุณภาพและการบริการ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาฯ ต่อการนำ PropTech มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ บริษัทฯ จึงถือเป็นโอกาสในการเติบโตที่แตกต่างเพื่อสร้างการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยในเดือนเมษายน 2565 บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในบริษัท Taronga Ventures ในส่วนของ RealTech Ventures Fund ซึ่งถือเป็นกองทุนธุรกิจร่วมลงทุน (Venture Capital Funds) มีฐานการลงทุนในประเทศออสเตรเลียที่มีชื่อเสียงและมีความเชี่ยวชาญในการลงทุนในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีซอฟแวร์ และนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม (Environment) ความยั่งยืน (Sustainability) และการลงทุนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (Responsible investment) แห่งเอเชีย โดยมุ่งเน้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมอสังหาฯ เป็นหลัก
นอกจากนี้ในเดือนเมษายน 2565 บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนบริษัท IC SG Pte. Ltd. ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้การลงทุนใน InvestaX ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงิน และแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อพัฒนาและขับเคลื่อนการลงทุน ลดต้นทุนการทำธุรกรรม เพื่อสร้างความโปร่งใส และเพื่อส่งมอบการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดเอกชนทั่วโลก ทั้งนี้การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน สามารถส่งเสริมการเติบโตของบริษัทฯ เพื่อรองรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ดิจิทัลในอนาคตได้
ธุรกิจกลุ่ม HealthTech
จากสถานการณ์ระบาดใหญ่ของ Covid-19 ที่เร่งให้ HealthTech เข้ามามีบทบาทในการบริการสุขภาพ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและอำนวยความสะดวก ประกอบกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยไทยรวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น หนุนให้ตลาด HealthTech ในไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการได้นำเทคโนโลยีด้านสุขภาพเข้ามาช่วยส่งเสริมการเข้าถึง และการพัฒนาในด้านการดูแลรักษา ส่งผลให้เกิดการให้บริการและการตรวจรักษาในรูปแบบใหม่มากขึ้น เช่น การตรวจวินิจฉัยและรักษาทางไกล (Telemedicine) การใช้ปัญญาประดิษฐ์มาช่วยวินิจฉัยโรค (Healthcare AI) การค้นหาผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver platform) เป็นต้น โดยกลุ่มภาคธุรกิจสุขภาพ ได้ลงทุนและพัฒนาจากการดูแลรักษาแบบเดิมมาเป็นการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้การเข้าลงทุนและการเป็นพันธมิตรกับผู้นำทางด้านเทคโนโลยีด้านสุขภาพจึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างการเติบโต เพิ่มการเข้าถึงลูกค้า และพัฒนาการให้บริการ เพื่อสร้างการลงทุนอย่างยั่งยืน
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัท Pathology Asia Holdings Pte. Ltd. (PAH) เป็นบริษัทโฮลดิ้งสัญชาติสิงคโปร์ ซึ่ง PAH ถือเป็นหนึ่งในผู้นำในการให้บริการด้านปฏิบัติการตรวจวินิจฉัย (Clinical Diagnostic Service) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีผู้ถือหุ้นหลัก (Lead investor) เป็นกองทุนของรัฐบาลสิงคโปร์ โดยมีบริษัทในเครือประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการด้านการตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ (Clinical Diagnostics & Laboratories Service) การให้บริการด้านระบบดิจิทัลสุขภาพ (Digital health) และธุรกิจด้านการตรวจสอบและวินิจฉัยจีโนมิกส์ (Genomics and Life Sciences) โดยปัจจุบัน PAH มีสาขาใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการลงทุนเพื่อขยายตลาดในประเทศไทยแล้ว ยังนำไปสู่โอกาสการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจได้ในอนาคต ซึ่งสามารถนำองค์ความรู้ นวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้เสริมธุรกิจการให้บริการด้านสุขภาพของบริษัทฯ ได้ โดยปัจจุบันได้เริ่มจัดตั้งบริษัทในรูปแบบกิจการร่วมค้า (Joint Venture) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินธุรกิจ Genomic & Laboratory services ในประเทศไทยต่อไป
นอกจากนี้ในเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในบริษัท Naluri Pte. Ltd. ประเทศมาเลเซีย โดย Naluri เป็น ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพดิจิทัล (Digital Preventive Wellness) ที่ใช้ AI เฉพาะทางด้านสุขภาพมาช่วยในการวิเคราะห์ ออกแบบแผนและวิธีการดูแลตามสุขภาวะของแต่ละบุคคล เพื่อการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อช่วยจัดการกับภาวะโรคเรื้อรังหลากหลายรูปแบบ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ประกอบด้วย กลุ่มบริษัทเอกชนที่ต้องการดูแลสุขภาพพนักงาน กลุ่มผู้ทำประกันสุขภาพ และกลุ่มบุคคลทั่วไป นอกจากนี้ ในเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในบริษัท Amili Pte. Ltd. ประเทศสิงคโปร์ ซึ่ง Amili เป็นผู้นำในด้านไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหาร (Gut Microbiome) หรือเทคโนโลยีชีวภาพด้านจุลชีพในระบบทางเดินอาหารที่มีความแม่นยำแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัทประกอบธุรกิจการวินิจฉัยและการรักษาด้วยไมโครไบโอม (Diagnostics & Therapeutics) การให้บริการปลูกถ่ายจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร (Fecal Microbiota Transplant) ธุรกิจสุขภาพส่วนบุคคล (Personalized Wellness) รวมถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในการทดสอบวินิจฉัย (Test kit) และผลิตภัณฑ์กลุ่มโปรไบโอติก (Probiotics) ธุรกิจให้คำปรึกษาด้านผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ (Functional Food) รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ร่วม (Co-product) และการรับรองผลิตภัณฑ์ (Health Labeling) การลงทุนนี้เป็นการเปิดโอกาสในการลงทุนและพัฒนาศูนย์วิจัย รวมถึงการรักษาด้านระบบทางเดินอาหาร และเปิดโอกาสในการเป็นผู้ผลิตสินค้ากลุ่มโปรไบโอติกได้ในอนาคต
ธุรกิจกลุ่ม SustainabilityTech
ในเดือนสิงหาคม 2565 บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จัดตั้งบริษัทร่วมทุน “บริษัท ปัน นิวเอนเนอจี จำกัด” เพื่อเดินหน้าสร้าง Energy x Living Solution เพิ่มโอกาสธุรกิจในการนำบริการพลังงานสะอาดเข้าเป็นแกนการพัฒนาการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน โดยบริษัทฯ ร่วมทุนนี้ มีศักยภาพในการติดตั้งโซลาร์รูฟโครงการบ้านอยู่อาศัยของเครือพฤกษาฯ เป็นการผนวกความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจระบบไฟฟ้าและพลังงานทดแทนกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นสู่การเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low-Carbon Economy) รวมถึงเป็นก้าวแรกสู่การต่อยอดพันธกิจของทั้ง 2 บริษัทให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นในอนาคต
ธุรกิจกลุ่มอื่น ๆ
ในเดือนมิถุนายน 2565 บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนในบริษัท ปันได้ จำกัด เพื่อการส่งเสริมธุรกิจอีคอมเมิร์ซของบริษัทฯ โดยปันได้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจและเจ้าของสินค้าเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ตรงกลุ่มและกว้างมากขึ้น ซึ่งเป็นนวัตกรรม Social Commerce 4.0 โดยผ่านเครื่องมือ KOL และ KOC รวมถึงผ่านการแนะนำของลูกค้าสู่ลูกค้า การส่งต่อการแนะนำไปสู่ผู้บริโภคจะได้รับผลตอบแทนเป็นค่าคอมมิชชั่นเมื่อมีการขายเกิดขึ้น เจ้าของสินค้าสามารถสร้างพื้นที่การขายในแพลตฟอร์มและส่งลิ้งค์ไปให้ลูกค้าชำระเงินได้โดยตรง หรือสามารถผ่านการแต่งตั้งตัวแทนขายได้โดยผ่านโทรศัพท์ออนไลน์ได้ทันที ในปัจจุบันธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีการแข่งขันที่สูงมาก ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดมีตัวเลขที่สูงขึ้น การทำการตลาดแบบ Affiliate Marketing จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยการตลาดในรูปแบบนี้ได้เริ่มต้นมาจากประเทศจีนในช่วงโควิดที่ผ่านมา และมีแนวโน้มโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นบริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาสที่จะนำโมเดลทางธุรกิจนี้มาปรับใช้ในประเทศไทยเพื่อรองรับกระแสการเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงแสวงหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีเกิดใหม่อื่น ๆ โดยในเดือนธันวาคม 2565 บริษัทฯ ได้ประกาศการเข้าร่วมลงทุนในกองทุน CapitaLand SEA Logistics Fund ผ่านความร่วมมือกับแคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป (CapitaLand Investment Group หรือ CLI) กลุ่มธุรกิจจัดการการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ที่มีฐานมั่นคงในทวีปเอเชียและ แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ (Ally Logistic Property หรือ ALP) ผู้ให้บริการโซลูชันคลังสินค้าแบบครบวงจรที่ล้ำสมัยที่สุดในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไต้หวัน โดย CLI รับหน้าที่เป็นผู้บริหารจัดการกองทุนดังกล่าว สำหรับความร่วมมือระดับภูมิภาคครั้งนี้ จะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนและพัฒนาทรัพย์สินด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ที่ใช้ในประเทศสำคัญ ๆ ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะด้านโลจิสติกส์ในรูปแบบของการให้บริการสู่โซลูชันนวัตกรรมใหม่ที่เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความคุ้มค่า ใช้เวลาน้อยลง เพิ่มการไหลเวียนของสินค้า เพื่อให้ลูกค้าและร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ สามารถใช้ประโยชน์จากคลังเก็บสินค้า ที่ลดการใช้ทรัพยากร พร้อมกับช่วยลดต้นทุนการดำเนินการได้ โดยถือเป็นก้าวแรกของกลุ่มบริษัทฯ สู่การขยายธุรกิจไปยังอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ซึ่งช่วยส่งเสริมกลยุทธ์การกระจายรายได้ที่หลากหลาย และเพิ่มรายได้ต่อเนื่องมากขึ้น